[Daomu fanfiction] The Traveller – 4

像也 不錯 – See that right
_________________________________

ผมตื่นมาด้วยเสียงคุยโทรศัพท์ของนายอ้วน เครื่องสีครีมเจือน้ำตาลเก่าตั้งอยู่ระหว่างเตียงของพวกเรา ใจความพอจับได้ว่ากำลังนัดหมายใครสักคนมาเจอกันที่นี่ เมื่อเห็นผมลุกขึ้นนั่ง นายอ้วนหวังรีบตัดบทอย่างมีพิรุธวางสายไป หันมาหน้ายิ้มแป้นแล้นใส่ตาผมแล้วบอกว่าวันนี้เราจะมีคนนำเที่ยว เป็นคนของเสี่ยวฮัวเมื่อคราแรกที่ได้รับเชิญมาที่นี่ เมื่อเป็นพวกเราแทนคนถูกเชิญเขาจึงมาทำหน้าที่นั้นให้เราแทน ผมพยักหน้าแกนๆ อย่างไม่สนใจเท่าไรนัก

เมื่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันลงไปทานมื้อเช้าที่โรงแรมจัดไว้ให้ เป็นก๋วยเตี๋ยวที่เรียกกันว่าเฝอ ในชามซุปใสนั้นยังประกอบด้วยเนื้อกลิ่นประหลาดเช่นเคย ดื่มชาร้อนเป็นการปิดท้ายก่อนจะไปนั่งรอคนนำเที่ยวที่บริเวณโถงโรงแรม

ผมนั่งไล่ดูรูปของวันแรกจนเผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้ ตื่นมาเจอกระดาษโน้ตลายมือหวัดของนายอ้วนว่าเขากับเมินโหยวผิงจะไปเดินเที่ยวรอบๆ แถวนี้ก่อน แล้วจะกลับมาโดยใช้เวลาไม่นาน มองเวลาที่ข้อมือพบกว่าหลับไปร่วมครึ่งชั่วโมง นั่งรอว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเดินถ่ายรูปบรรยากาศของที่พักและบันทึกการเดินทาง เวลาผ่านไปอีกชั่วโมงแล้วยังคงไม่มีวี่แววจากใครสักคน ไม่ว่าจะเป็น นายอ้วน เมินโหยวผิง หรือกระทั่งคนนำทาง จนพระอาทิตย์ตรงหัวนั่นเองถึงปรากฏร่างชายหุ่นท้วมใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามา

ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาผมโดยไม่มีท่าทีหยุดคิดหรือลังเลแต่อย่างใด ถ้าหากนายอ้วนไม่ได้อธิบายลักษณะของผมไว้ก่อนแล้วว่าจะเป็นคนอยู่รอ ก็คงจะรู้อยู่แล้วด้วยจุดประสงค์อื่น เสียงแหบต่ำนั้นทักทายพอเป็นพิธีก่อนจะยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลให้จากนั้นก็กลับโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม ฉีกซองดูเนื้อในยังประหยัดคำดังเช่นคนส่งสาร เป็นแผนที่ฉบับหนึ่งพร้อมข้อความสั้นๆ ว่าให้ไปเจอกันที่จุดหมายหมายตามแผนที่ ไม่มีเกริ่น ไม่มีนัดวันเวลา เมื่อดูอย่างละเอียดพบว่าระยะทางจากที่พักอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ ผมจึงไม่คิดจะรออีก หากพวกนายอ้วนอยู่ละแวกนี้อย่างไรก็คงได้เจอกัน

ก่อนออกจากที่พักผมลองโทรเข้าโทรศัพท์พกพาของนายอ้วน ระบบแจ้งกลับว่าไม่สามารถติดต่อได้ ผมจึงเดินวนฝั่งซ้ายและขวาของโรงแรม เมื่อไม่พบจึงเดินไปยังทิศในแผนที่ หากโชคดีเราคงได้เจอกันระหว่างทาง

ข้างทางบริเวณนี้ไม่มีทางคนเดิน เป็นถนนที่มอเตอร์ไซด์และรถใหญ่สวนกันขวักไขว่ บ้างก็สวนเลนราวกับเป็นเรื่องปกติ เสียงแตรจากหลายพาหนะดังสลับกันไม่ขาดสาย เดินเบียดกำแพงร้านตัวลีบด้วยกลัวว่าจะเจอรถคันไหนได้แขนผมไปเป็นที่ระลึก ราวยี่สิบนาทีจึงเจอเมินโหยวผิงยืนนื่งอยู่ตรงสามแยก ท่าทางเหมือนกำลังเหม่อลอยอยู่มากกว่าจะรอใครสักคน

“ทำไมนายมาอยู่ตรงนี้?” ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา

“ไม่รู้จะไปไหน” เขาตอบกระชับ

พอถามถึงนายอ้วน เมินโหยวผิงตอบเสียงเรียบว่ามือถือของนายอ้วนไม่ได้ชาร์จไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ผมก็ได้คำตอบทันที

“หิวแล้ว นายอ้วนพานายไปกินที่ไหนหรือยัง พาฉันไปกินร้านเดียวกับพวกนายก็ได้” สองข้างทางที่ผมเจอล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่ไม่มีป้ายราคาและไม่มีราคาในรายการอาหารทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นภาษาเวียดนามล้วนอ่านไม่ออกสักตัว

“ยังไม่ได้กิน”

ผมเงียบให้กับคำตอบนี้อยู่อึดใจหนึ่ง “แล้วครั้งสุดท้ายที่เจอนายอ้วน แยกกันตรงไหน? แถวนี้รึเปล่า? เผื่อไปตรงที่แยกกันน่าจะได้เจอกันเร็วกว่านะ”

เมินโหยวผิงส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าแยกกันตรงไหน หันไปอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว ตรงนั้นคือที่ที่มีรถเยอะๆ”

รถเยอะๆ…

ที่ไหนมันก็มีรถเยอะๆ ทั้งนั้นแหละเจ้าเรือพ่วงนี่!

“งั้นก็ช่างมันแล้วกัน เราเดินหาอะไรกินง่ายๆ แล้วกลับที่พักกันเถอะ” ผมตัดสินใจไม่บอกเรื่องสถานที่จัดเจอ คิดเองว่าหากต้องการให้ไปพบวันนี้ก็คงจะระบุมาในกระดาษแนบแล้วจึงไม่คิดรีบร้อน

 

 

วันนั้นทั้งวันผมและเมินโหยวผิงอยู่ในห้องพัก ผมดูทีวี ส่วนเมินโหยวผิงจะทำอะไรผมก็ไม่ได้หันไปใส่ใจนัก นานๆ ทีก็ออกไปสูบบุหรี่ตรงริมระเบียง มื้อเย็นก็ฝากท้องกับร้านอาหารของโรงแรมเป็นเฝอและข้าวผัดง่ายๆ ขึ้นมาอาบน้ำสุดจะไม่มีอะไรทำ ขนาดนั่งดูคลิปทางอินเตอร์เน็ตก็ดูเสียจนไม่มีอะไรจะให้ดู จนต้องหนีไปดูการแข่งทัวร์นาเมนท์ของเกมส์ออนไลน์ที่กำลังนิยมกันในประเทศของผมแทน ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง หลับแล้วตื่นไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุด ณ เวลาสามทุ่มครึ่งนายอ้วนก็เดินเข้ามาในห้องในสภาพเมาหัวแดง กลิ่นฉุนของเครื่องดื่มอวลอยู่รอบตัวแถมสะอึกเป็นพักๆ

“นี่นายหายไปไหนมา?” ผมยืมเท้าเอวถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันเจอเสี่ยวเกอยืนเคว้งอยู่ตรงสามแยก ทำไมนายไม่พาเสี่ยวเกอไปด้วย อย่างน้อยก็เดินกลับมาบอกฉันหน่อย พาเสี่ยวเกอกลับมาที่พัก หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หายตัวไปแบบนี้ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้อีก”

นายอ้วนโบกมือปัดไปมา “วุ้ย เทียนเจินนี่นอกจากเป็นเทียนเจินแล้วยังเป็นแม่อีกเรอะ? เสี่ยวเกอไม่ไปไหนหรอกน่า ยังไงก็ต้องไปหาที่ที่นายอยู่จนได้แหละ ปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่เป็นไร นายก็รู้ว่าเสี่ยวเกอของเราเอาตัวรอดได้” เขาพล่าม “อีกอย่าง ฉันบอกชื่อโรงแรมนี้กับเสี่ยวเกอไปแล้ว แถมให้เงินพกติดตัวตั้งฟ่อนใหญ่ ยังไงก็ไม่ตาย ต่อให้ไม่มีเงินก็ไม่ตาย”

ผมนวดขมับตัวเอง “นายรู้ไหม ตอนฉันเจอเสี่ยวเกอ เขาบอกว่ายังไม่ได้กินข้าว ไอ้เราก็นึกว่าเสี่ยอ้วนแม่งดีแต่วางท่า กับอีแค่เงินเล็กน้อยยังไม่ให้พกติดตัว! จะบ้า”

“เวร… ไอ้เราก็ลืมถามว่าใช้เงินเป็นไหม ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันนี่ไม่เคยเห็นควักเงินเองสักแดง” ที่นายอ้วนพูดมาก็น่าคิด

“แล้วนายไปดื่มที่ไหนมา?” ผมถามต่อ

นายอ้วนเปิดตู้เย็นกรอกน้ำเปล่าใส่ปากกว่าครึ่งขวด “ก็ร้านแถวๆ นั้น จำไม่ได้หรอก เป็นร้านข้างทาง เจอคนจีนที่ทำงานที่นี่ เลยคุยกันยาว ไปกินข้าวแล้วก็ดื่มกันนิดหน่อย ที่นี่เหล้าถูกเป็นบ้า ฉันกินเป็นน้ำเปล่าเลย”

เออ ไม่มีอะไรแพงเท่าน้ำชงแก้วละห้าหมื่นดองของนายหรอก…

“แล้วเป็นไง เจอคนที่จะมานำเที่ยวไหม?” นายอ้วนหันมาถามก่อนจะเดินไปหยิบชาชงใส่กากระเบื้องด้วยน้ำร้อนในกาไฟฟ้า

“ไม่รู้” ผมตอบง่าย นายอ้วนฟังแล้วขมวดคิ้วใส่ ผมจึงยักไหล่ตอบ “ก็ไม่เห็นพูดอะไร ดูท่าแล้วเหมือนรู้จักหน้าฉันมากก่อน เอาแผนที่มาให้ ไม่พูดอะไรแล้วก็กลับไปเลย นายอยากดูแผนที่ไหม?”

“ตอนนี้ไม่ล่ะ” นายอ้วนตอบปัดพลางสำรวจสีน้ำชาในกา “เขามาส่งให้ผิดคนรึเปล่า? นายไม่ถามอะไรเขาหน่อยเรอะ”

“ก็มาไวไปไวไม่ได้อยู่ให้ถาม ฉันก็มัวพะวงเรื่องพวกนายมากกว่าก็เลยไม่ได้สนใจน่ะสิ” ผมเล่า “ที่จริงว่าจะเดินไปตามแผนที่ แต่พอดีเจอเสี่ยวเกอก่อน ก็เลยกลับดีกว่า กลัวสวนกันกับนายด้วย”

ใบหน้าอูมนั้นพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ “แล้วยังไง นายจะลองไปดูอีกทีไหมพรุ่งนี้”

“ก็ถ้าไม่ลืมและถ้ายังอยากไปอยู่ละนะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ “ยังไงก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องของพวกเรา… หรือว่ามันใช่?”

พอลองโยนหินถามทางดู นายอ้วนกลับไม่มีท่าทีผิดปกติ

“ฉันไม่รู้ แต่ตอนเช้าคนที่โทรมานัดคือคนที่จะนำเที่ยวจริงๆ …ที่ฉันไม่ได้ย้อนกลับมาเพราะคิดว่าพวกนายคงจะไปกับคนนำเที่ยวแล้วเสียอีก” ผมส่ายหน้า “แบบนี้น่าสงสัย ที่จริงเรื่องคนนำเที่ยวคุณชายฮัวก็ไม่ได้เกริ่นมาตั้งแต่แรกด้วย”

“อืม จากนิสัยเสี่ยวฮัวแล้วหากมีคนนำเที่ยวจริงคงต้องบอกก่อนอยู่แล้วนี่นะ” ผมเห็นด้วย

“เออ จะว่าไป ฉันได้ยินมาว่าช่วงสองสามวันนี้คือวันที่พระจันทร์อยู่ใกล้โลกมาที่สุดนะ มันจะดวงใหญ่สวยเชียวล่ะ นายเห็นบ้างไหม?”

ผมส่ายหน้าตอบ นอกจากออกไปสูบบุหรี่แล้วผมไม่ได้สังเกตอะไรเป็นพิเศษ นายอ้วนจึงชวนกันเดินออกไปฝั่งตรงข้ามของที่พักหลังจากดื่มชาร้อนไปหนึ่งถ้วยเต็ม

 

 

ลมตอนกลางคืนพัดแรงสมกับที่อยู่ริมน้ำ ฝั่งตรงข้ามที่พักนี้คือทะเลสาปฝั่งตะวันตก แนวรั้วกั้นตลอดเส้นกินระยะราวหนึ่งกิโลเมตร ท้องฟ้ามืดสนิท อย่าว่าแต่พระจันทร์ แม้แต่ดาวสักดวงยังไม่เห็น เมฆมากเสียจนคิดว่าฝนท่าจะตก หากทิวทัศน์เมื่อเงยหน้ามองฟ้าแล้วมันช่างกว้างใหญ่ ความมืดแซมด้วยเหล่าเมฆหนาไล่สีเข้มอ่อนกระจายเต็มฟ้า ลมปะทะร่างกายแรงผมเผ้ายุ่งเหยิง สูดหายใจได้ไอเย็นเต็มปอด

ท้องฟ้าผืนเดียวกัน มองในสถานที่ต่างกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม…

“เอาน่า พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ก็ได้ คงเมฆน้อยกว่านี้หรอก” นายอ้วนตบบ่า

ผมหัวเราะ “ฉันทำหน้าเสียดายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เปล่า แค่อยากทำลายความเงียบเฉยๆ” นายอ้วนเงยมองฟ้าบ้าง “คิดอะไรอยู่”

“คิดว่าเสี่ยวเกอคิดอะไรอยู่..”

นายอ้วนหวังหัวเราะเสียงเบา “คงจะเหม่อ”

มีความเป็นไปได้…

ผมลอบมองเมินโหยวผิงที่ยืนเกาะริมรั้วมองไปที่ไกลแสนไกล ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่ด้วยความมืดและความคิดไปเองของผม ที่จริงเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้

คนที่ช่วยคลายความสงสัยของผมเป็นนายอ้วนเช่นเคย “เสี่ยวเกอมองอะไรอยู่เหรอ?”

“ไม่ได้มอง” เขาตอบเสียงเบา แทบไม่ได้ยินในสภาพลมพัดแรงขนาดนี้ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ขึ้น

“แล้วคิดอะไรอยู่?” นายอ้วนถามสืบไป แขนพาดกอดคอเสี่ยวเกออย่างสนิทสนม

“คิดว่าถ้าอากาศเย็นลงกว่านี้สักนิดก็คงดี”

“…”

ผมกับนายอ้วนสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันดังลั่นอย่างรู้ความหมายกันเอง

“ไป… เข้าห้องกันเถอะ ได้กลิ่นเหมือนฝนจะตก” ผมเอ่ยชวนยิ้มๆ มองเมินโหยวผิงเดินข้ามฝั่งกลับเข้าที่พักไปอย่างขำๆ

นายอ้วนข้ามไปครึ่งหันมาคว้าผมเข้าไปกอดคอ ก่อนจะยีหัวผมไม่เบานัก “เลิกคิดมากไปทวีปหน้าเรื่องน้องเสี่ยวเกอได้แล้ว คุณแม่เทียนเจิน”

ผมหัวเราะ ฟาดมือใส่พุงนายอ้วนไปหนึ่งทีก่อนจะพากันกลับเข้าห้องพัก

 

 

เช้าวันต่อมาผมตื่นด้วยเสียงกรนสนั่นของคนเตียงข้างเคียง ท้องฟ้ายังไม่สว่างแต่ตาผมสว่างนอนต่อไม่ลง ลุกขึ้นไปนั่งตรงห้องนั่งเล่น เปิดทีวีดูเบาเสียง ดื่มชาร้อนไปพลางดูแผนที่ที่ได้รับไปพลาง

ที่บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเรานั้นอาจจะพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเจาะจงมากไป ไม่มีการถามชื่อสักคำ หากเป็นการส่งแผนที่ให้อย่างไรควรมีการยืนยันตัวตนกันหน่อยจึงจะถูกต้อง นี่เหมือนอีกฝ่ายตั้งใจส่งให้ผม — หรืออาจจะแน่ใจว่ามันจะถูกส่งต่อไปยังนายอ้วนหวัง กระทั่งเมินโหยวผิงก็ตาม อย่างไรก็ควรต้องลองไปดู หากเป็นแผนของนายอ้วนเมื่อมาถึงขั้นนี้เขาจะไม่ปิดบังอีกต่อไป แต่จะใช้เวลาพูดโน้มน้าวให้ผมยอมตกลงด้วยมากกว่า เหตุการณ์เมื่อคืนจึงไม่ใช่วิสัย

ผมลองเปิดแผนที่ในมือถือเทียบกันดู เมื่อเปิดแบบให้เห็นสิ่งปลูกสร้างแล้ว สถานที่ที่เป็นจุดหมายไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงบ้านคนธรรมดา… แบบนี้คงต้องลองไปดูจึงจะรู้คำตอบ อีกใจก็ไม่อยากยุ่งหากเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา หวนนึกถึงคณะที่ลักพาตัวผิดคน คิดอย่างไรก็ไม่มีความเชื่อมโยงสักส่วน

เหลือบตาขึ้นมาเจอเมินโหยวผิงนั่งมองหน้าผมอยู่ก็สะดุ้งจนชาในถ้วยกระเซ็นหกโดนมือเลอะโต๊ะ

“ตกใจหมด!” ผมว่าพลางถอนหายใจ หยิบเอากระดาษมาเช็ดให้เรียบร้อย โชคดีที่น้ำไม่ได้ร้อนจัดขนาดลวกมือพองได้

“เหม่ออะไรอยู่?”

ผมโคลงหัว “เรื่องแผนที่มันกวนใจจริงๆ วันนี้เลยว่าจะไปดู ถ้าทุกคนเห็นด้วย”

เมินโหยวผิงไม่เสนอความเห็นใด

เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่จนนายอ้วนตื่นขึ้นมา เมื่อเล่าความคิดให้เขาฟังนายอ้วนก็ตอบกึ่งรับกึ่งสู้กึ่งประชดจนน่าตีหน้ายิ้มๆ นั่นให้เสียที

“ถ้าเทียนเจินอยากไปฉันก็ไม่มีอะไรค้านนะ กลัวว่าถ้าไปแล้วเป็นเรื่องลงกรวยขึ้นมานายจะไม่ชอบใจรึเปล่ามันก็อีกเรื่องเนอะ”

ผมเอากระดาษแผนที่ตีหน้านายอ้วนเป็นการส่งให้ดู เขารับไปมองผ่านๆ พลิกหน้าหลังไม่พบข้อมูลเพิ่มเติม กระทั่งเนื้อกระดาษก็เป็นกระดาษเอกสารธรรมดา ความธรรมดามากเกินไปเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรแฝงอยู่

“จริงอย่างที่นายว่า” นายอ้วนเปรย มือยื่นขอซองจดหมายไปดูด้วยอีกอย่าง หน้าหลังว่างเปล่า ด้านในซองไม่มีข้อความแฝง “นี่มันว่างเปล่าเกินไป…”

 

 

พวกเราตกลงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเราก็ยืนอยู่ ณ จุดตั้งต้นของแผนที่ เป็นซอยที่อยู่ถัดจากแยกที่เมื่อวานผมเจอนายใบ้จางยืนเคว้งอยู่นั่นเอง ซอยนั้นมีถนนสองเลน แคบกว่าหน้าโรงแรมที่พักเกือบครึ่ง พาหนะส่วนมากเป็นมอเตอร์ไซด์และจักรยานติดเครื่องยังคงบีบแตรกันระงม คึกคักกว่าแถบที่ผมพักอยู่มาก สองข้างทางเป็นร้านอาหาร ทั้งแบบที่เป็นตึกแถวและแบบนั่งกินข้างทางแน่นเบียดเสียด ร้านขายของมีทุกประเภทปะปนกันมั่วซั่ว ร้านหนึ่งขายท่อแป๊บร้านถัดไปขายทีวีต่อมาเป็นขายปลาและตามด้วยร้านขายสีทาบ้าน ห้องตึกแถวแต่ละห้องแคบกว่าปกติ บางร้านที่มองเข้าเป็นสภาพเป็นของเทินเรียงสูงตามแนวฝาบ้านสองข้าง เหลือเพียงทางเดินทะลุแคบๆ ระกับที่นายอ้วนตะแคงตัวเดินยังไม่รู้จะผ่านไปได้ไหม บางบ้านมีบันไดขึ้นชั้นสองอยู่นอกบ้าน ทั้งบันไดลง มีทางลาดลงต่ำไปว่าระดับพื้นเดินธรรมดาดูแปลกตา บางที่มันชันเสียจนกลิ้งลงไปง่ายกว่าเดิน ผมเดินมองบ้านเรือนโดยรอบเสียเพลิน นึกได้ก็เอาแผนที่ขึ้นมาดูปรากฏว่าไม่มีอะไรบอกไปมากกว่านี้อีกแล้ว กะไม่ได้ว่าเราจะต้องเดินไปอีกแค่ไหนจึงจะเจอสถานที่นัดพบ เห็นมีเครื่องหมายประหลาดกระจายสะเปะสะปะ เมื่อเทียบดูแล้วน่าจะเป็นทางลาดลงด้านล่าง ซึ่งที่เราอยู่กันนี้มันมีเยอะมากเสียจนเดาไม่ถูกว่าต้องลงซอกไหน ได้แต่เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เราอาจจะได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นหากเราเดินหน้าไปอีกนิด

สิบนาทีผ่านพ้นไป ผมถูกเมินโหยวผิงรั้งแขนเอาไว้ เขายืนมองตรอกบันไดทางลงที่อยู่ระหว่างบ้านสองหลัง มีรั้วกั้นทางลงแค่เมตรนิดๆ ซุ้มประตูทางเข้าด้านล่างนั้นดึงสายตามาก หากแต่สังเกตได้ยากมาก พวกผมเกือบเดินเลยไปแล้วหากเมินโหยวผิงไม่เห็นเข้าเสียก่อน

ซุ้มประตูเป็นปูนสีขาวล้วนมีคราบเก่าตามฝนเซาะ กรอบช่องว่างตรงกลางที่มีมังกรเกลียวอยู่สองด้านเหมือนเคยมีป้ายอะไรอยู่ คงถูกถอดหรือพังไปเสียก่อน ประตูเป็นบานไม้หนา ลองเคาะได้ยินเสียงด้านๆ มองหาไม่เจอกริ่งให้กด จะตะโกนเรียกก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกใคร นายอ้วนก้มๆ เงยๆ เจอช่องลอบมองอยู่ริมสุดกำแพง ด้านในเป็นบ้านปิดเงียบมืดสนิท

“ผิดที่รึเปล่า?” นายอ้วนสงสัยเช่นเดียวกันกับผม

ผมมองดูแผนที่ สถานที่นัดพบเป็นรูปมังกร ประตูนี้ก็มีมังกร จะเอามาระบุสัญลักษณ์ก็ไม่น่าใช่ เพราะโรงแรมที่ผมพักมีลวดลายมังกรประดับอยู่ทั่ว ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เจอรหัสที่อาจจะซ่อนอยู่ แถมยังคิดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น “เรากลับไหม?”

ยังไม่ทันขาดคำ ได้ยินเสียงคล้ายปลดสลัก ประตูไม้ขยับออกเล็กน้อย

“สงสัยจะกลัวนายกลับ…” นายอ้วนพูดขำชวนหัว “กับแค่นี้ต้องทำประตูรีโมต ไม่สิ้นเปลืองไปเรอะ?”

ที่จริงซุ้มบ้านหรือกระทั่งรั้วกั้นด้านหน้าเอง ความสูงอยู่ในระดับที่ปีนง่ายทั้งนั้น รั้วสูงเลยเอวนิดหน่อย กับซุ้มที่สูงไปอีกช่วงตัวคน แถมร่องให้ปีนก็เยอะแยะ จะลงกลอนแน่นหนาอย่างไรก็ปีนเข้าได้อยู่ดี

“เขาเชิญแล้วก็เข้าไปเสียหน่อย อย่างน้อยตอนนี้เขารู้ว่าเรามาแล้ว” ผมไหวไหล่ เดินตามนายอ้วนที่เปิดทางนำเข้าสู่บริเวณบ้าน เมื่อถึงกลางทางเสียงปลดสลักดังอีกครั้ง คราวนี้เป็นของประตูเข้าบ้าน ด้านในมืดสนิทแทบมองไม่เห็น ทั้งยังชื้นมากจนไม่สบายตัว มันคงไม่ใช่ที่สำหรับอยู่อาศัย กลางโถงเป็นชุดโต๊ะหินอ่อนขัดมันที่เริ่มหมอง โครงสร้างทั้งหมดเป็นปูนเปลือยทั้งสิ้น ชั้นไม้ ตู้ไม้เป็นไม้เนื้อหนา เทียบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบข้างนอกนั่น ผมเหมือนได้เปิดประตูมิติกลับมาอยู่ประเทศบ้านตัวเอง “แล้วที่นี้ไปทางไหน?”

ผมกำลังลังเลว่าจะนั่งรออยู่แถวนี้หรือจะเดินค้นไปทั่วดี มองเมินโหยวผิงที่เดินสำรวจเข้าไปลึกมองไม่เห็นแผ่นหลัง

“เสี่ยอ้วนไม่ชอบเลย” นายอ้วนพรูลมหายใจยาว “ทุกอย่างนี่มันซับซ้อนเกินไป ทำไมต้องทำอะไรให้ยาก แบบมีความยากซ่อนอยู่ในความธรรมดาน่ะ เทียนเจินเข้าใจไหม?”

พูดอีกก็ถูกอีก คนเรามีธุระปะปังทั้งที่ไม่รู้จักมักจี่กันก็ควรทำให้ชัดเจนหน่อย

เมินโหยวผิงส่งเสียงเรียกจากในความมืด เดินตามไปพบประตูไม้ฉลุกั้นด้วนกระจกขุ่น ด้านในเปิดไฟอยู่

ผมไม่ชอบใจในสถานการณ์ นี่เราถูกรบกวนให้มาหรือเป็นฝ่ายขอร้องอยากเข้าไปกันแน่ คิดแล้วน่าหงุดหงิดชอบกล

เมื่อเห็นผมยืนนิ่ง นายอ้วนยกมือที่จะผลักประตูค้างชะงัก หันมามองหน้าผมอย่างหาคำตอบ

“กลับ” ผมพูด “เวลานี้เราควรไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มากกว่ามายืนบื้ออยู่ตรงนี้ เราคงหลงมาเที่ยวไกลไปหน่อย”

นายอ้วนหัวเราะท่าทางชอบใจ หันกลับมากอดคอผมเดิน “ไปเถอะ อยากกินไอศกรีมเสียบไม้ที่เดินผ่านมาตรอกเมื่อกี้ กลิ่นประหลาดดีแท่งเหลืองๆ หน่อย น่าลองนะ”

 

 

ตึง!

 

 

ผมกับนายอ้วนหันไปตามเสียง แม้ไม่ดังแต่ก็ไม่เบา เห็นเมินโหยวผิงคาเท้ายกสูงทาบปิดระหว่างประตูสองบาน

 

 

อย่างกับอยู่ในหนังจีนกำลังภายใน…. ประทับใจแทบอยากถ่ายรูปเก็บไว้หากแต่ไม่ใช่เวลา…

อีกฝากของประตูต้านแรงดัน บานประตูขยับเพียงเล็กน้อย เจ้าของฝ่าเท้าผนึกประตูนั้นมองผม แววตานั้นไม่ได้ตั้งคำถามว่าจะเปิดไหม แต่ประกายตาราวกับจะถามว่า ‘พังมันให้ราบเลยไหม?’

นายอ้วนเอียงหัวมากระซิบ “เมื่อเช้าเสี่ยวเกอของนายไม่ได้กินข้าวเหรอ?”

ผมโคลงหัว “นายคงลืม… พวกเราออกมาโดยไม่มีใครได้กินทั้งนั้น”

“งั้นออกไปแล้วซื้อไอติมปลอบใจหน่อยนะ” นายอ้วนชี้ทาง

“นั่นปลอบใจใครกันแน่?” ผมส่ายหัวระอากับความไม่ดูเวล่ำเวลานี้ก่อนจะหันไปหาเมินโหยวผิง “เจ้าของบ้านเขาจะออกก็ให้ออกมาเถอะ” เท่านั้น ขาข้างนั้นจึงยกออก ตัวเองถอยออกมากันด้านหน้าตัวผมไว้อย่างผิดปกติ นายอ้วนเห็นตามนั้นจึงเลิกกอดคอ ขยับออกห่างเล็กน้อยให้มีระยะขยับตัว

บุคคลที่ออกมาอยู่ในชุดทางการเสมือนที่แห่งนี้เป็นสถานที่ราชการหาใช่บ้านคนตามสภาพที่เห็น เสื้อเชิ้ต ชุดสูท รองเท้าหนังมันปลาบ กระทั่งผมก็ปัดข้างเรียบร้อย รอยยิ้มนั้นเปิดทางให้พร้อมกับผายตัวเล็กน้อย

“เชิญด้านในก่อน”

ผมพิจารณาอยู่หนึ่งลมหายใจ เดินเลี่ยงไปรับหน้าแทนคนที่เหลือ พูดด้วยเสียงปกติ “ขอบคุณ แต่ผมยังไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเข้า คุณคือใครผมไม่รู้จัก เราแค่หลงเดินมาแถวนี้ และกำลังจะออกไปแล้ว ขอโทษที่เข้ามารบกวน”

“แต่ผมรู้จักคุณนะอู๋เสีย… หรือจะให้ผมเรียกว่า ‘นายน้อย’ ถึงจะคุ้นหู?”

รอยยิ้มนั้นกวนใจผมอย่างมาก เซลล์สมองสักที่บอกผมว่าผมเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน ผมเลือกที่จะไม่เปลี่ยนสีหน้า ยิ้มตอบกลับด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน “เกรงใจกันเกินไปแล้ว หากเรียกผมอย่างนั้นคงไม่พ้นเป็นคนใต้บัญชาจริงไหม?”

“ผมเป็นเจ้านายของเยี่ยอู๋ซัน หรือที่รู้จักกันในชื่ออู๋ต้าเกอ” เขาเข้าเรื่องโดยทันที

เดี๋ยวก่อนนะ… ชื่อนี้ผมเคยได้ยินที่ไหน…

“เสียใจด้วย ผมไม่รู้จักทั้งคุณและคนคนนั้น ทีนี้ผมไปได้หรือยัง?” ผมปัดทุกกรณีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ผมอยากปรึกษา…” ไอ้หมอนี่ไม่ฟังผมสักนิด “เห็นว่าคุณเคยมีประสบการณ์การทำงานจำเพาะบางประเภท ทั้งยังมีความสามารถในการถอดรหัสภาพด้วย”

ผมส่ายหน้า “ผมรู้แต่โครงสร้างกับสถาปัตยกรรม แต่ถ้าหากคุณอยากได้คนตกแต่งบ้านหรือบูรณะมันใหม่ล่ะก็.. คงต้องเป็นคนอื่นอยู่ดี”

ชายร่างสูงยังคงพูดสืบไป ครั้งนี้เขาขยับเข้ามาใกล้อีกครึ่งก้าว “ผมอยากให้คุณช่วยหาของให้หน่อย”

“ไม่เห็นจำได้ว่าผมทำงานในองค์กรรับจ้างสารพัดตอนไหน… คุณติดต่อผิดคนแล้ว” ผมยังยืนกราน “ผมมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น หากคุณอยากหาคนช่วยนั่นก็ไม่ใช่ผมแน่นอน”

“จากผมไป คุณก็เจอคนอื่นอยู่ดี ทำไมไม่ลองคุยรายละเอียดกันสักนิด?”
“ข้ามประตูบานนั้นไปดูท่าจะไม่สามารถถอยกลับ ได้คุยกันอีกคำก็นับว่ายุ่งยากใจนะ” ผมก้าวถอยออกมา “สวัสดี และลาก่อน”

ผมหันหลังเดินออกมาทั้งอย่างนั้น พวกเราไม่มีใครพูดกันสักคำจนพ้นแนวรั้วกั้น ปล่อยให้นายอ้วนเดินนำทางไปจนถึงร้านไอศกรีมที่ว่า ถือกันอยู่คนละแท่งต่างรส เบี่ยงมายืนข้างร้านแล้วจึงเปิดประโยคพูดคุย

“ฉันว่ามันแหม่งๆ” พูดแล้วก็กัดไอศกรีมหนึ่งคำ “ถ้าจะขอโทษนายก็ดูจะไม่ใช่”

“ไม่เห็นท่าทีจะเหมือนขอโทษตรงไหน…” ผมเคี้ยวถั่วดำในปาก “คนนั้น… เหมือนจะอยู่ในรูปที่นายเคยส่งมาให้ดูนะ เขากลืนไปกับพื้นหลังของรูป ฉันก็ไม่ทันได้จำ”

นายอ้วนพยักหน้า “อันนี้มันรสทุเรียน รสชาติมันปะแล่มๆ แต่ใช้ได้นะ เทียนเจินลองไหม?”

“สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องซวยๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่ฉันต้องหาวัดแถวนี้ทำบุญใหญ่หน่อยแล้วล่ะ เดี๋ยวลองถามดูดีกว่า” ผมเพิ่งเอะใจว่าตั้งแต่เที่ยวมายังไม่เคยเห็นวัดเลยสักแห่ง

“จำสวนสาธารณะที่น้ำชงแพงๆ ได้ไหม?”

“อย่างกับจะลืมลง!” ผมย้ำ

นายอ้วนหัวเราะ กัดไอติมอีกสองสามคำก่อนจะพูดต่อ “ตอนนั้นเหมือนเห็นคนถือของไหว้เดินข้ามแยกไปอยู่นะ ลองเดินไปดูกันไหม?”

“ก็ดี เดี๋ยวไปกันเลยแล้วกัน” ผมไม่คัดค้าน “เสี่ยวเกอ ของนายรสอะไร?”

“อะไรไม่รู้” เขาพูดพร้อมยื่นไอศกรีมในมือส่งให้ผมชิม รสกะทิไม่เข้มข้นมาก มีแป้งปั้นเส้นเล็กสีเขียวอ่อนกระจายอยู่ปะปน

“อร่อยดีนะ ไอศกรีมพวกนี้ไม่ได้กินมาตั้งนาน” ผมเงยหน้ามองเงาของแสงแดดที่โดนตึกแถวบัง

“อันดับแรก หาของกินด่วนๆ เลย เสี่ยอ้วนหิว”

 

 

วัดที่พวกเราได้ไปทำบุญกันเป็นวัดจีน ได้เห็นอักษรคุ้นหูคุ้นตาบ้างก็พลันรู้สึกสงบ เราซื้อของไหว้ชุดใหญ่ด้านหน้าก่อนจะเดินเบียดเสียดตามฝูงคนเข้าไปอารามด้านใน ด้านหนึ่งของวันเป็นทะเลสาบทิศตะวันตกที่กินระนาบยาววงกว้าง มีเรือยาว เรือเล็กหาปลาประปราย ควันธูปเจือจางในบรรยากาศ คนที่นี่ไม่นิยมจุดธูปไหว้กันสักเท่าไหร่ ผมเงยหน้ามองลวดลายบนเพดานที่ลอกไร้การบูรณะอย่างเพลินตา นายอ้วนสะกิดให้ผมลองหยิบกระดาษเสี่ยงดวงดู เปิดออกมาเจออักษรเวียดนามที่มีภาษาบ้านเกิดกำกับข้างๆ ว่า ‘มีเภทภัย’ ตัวต้นคิดหัวเราะเสียงดังลั่นตามหลังผมที่เดินเอามันไปทิ้งในกองเสริมโชคลาภ ด้วนการพับกระดาษทำนายดวงนั้นผูกเข้าด้วยกันแล้วโยนไปในกอง

ทำบุญชุดใหญ่ขนาดนี้ยังไม่หนุนหลังกันสักหน่อย… เกรงว่าของเซ่นชุดใหญ่จะยังเดินทางไปไม่ถึงแน่ๆ​ … ผมคิดปลอบตัวเอง

“หยุดหัวเราะที” ผมถลึงตาใส่นายอ้วน “ฉันซวยมีเหรอพวกนายจะไม่ซวยไปด้วย”

เท่านั้นนายอ้วนชะงัก “เวรละ… นายทำเพิ่มอีกชุดมั้ย คราวนี้เดี๋ยวเสี่ยอ้วนสมทบอีกกอง”

“นี่ก็มูลค่าจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ได้แล้ว พอเถอะ…” ผมยั้งความคิดนายอ้วนไว้

ด้านฝั่งที่ติดริมทะเลสาบลมแรงเย็นแม้จะยังแดดจ้า พวกเรานั่งทอดหุ่ยอยู่ตรงม้านั่งริมน้ำ ผมหลับ ส่วนนายอ้วนหายไปไหนอีกแล้วไม่รู้ มีเมินโหยวผิงนั่งนิ่งให้ผมพิงหลับไม่ขยับสักนิด ได้เปลี่ยนสถานที่ในการนั่งว่างแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน มองนั่นมองนี่ก็เพิ่งสังเกตว่าเจดีย์ด้านหลังนี้มันสามารถเดินขึ้นไปได้ด้วย ผมขยับนั่งตัวตรง หันไปสบตากับเจ้าของดวงตาสีดำสนิทนั้น เราลุกขึ้น กึ่งเดินวิ่งเข้าไปยังเจดีย์

บันไดวนหมุนขึ้นไปเรื่อยๆยังตัวยอด ขึ้นไปไม่ถึงครึ่งก็เหนื่อยล้า ทางราบผมยังพอสู้ แต่ถ้าให้ขึ้นบันไดขาแข้งมันพาจะอ่อนแรง บันไดที่บิดเกลียวคราแรกที่ดูน่าสนุกเริ่มทำให้ลำไส้บิดมวน เมินโหยวผิงที่ยืนรออยู่ตรงชานพักบันไดด้านบนเดินลงกลับมาหาผมทำท่าอย่างกับจะแบกผมขึ้นไป ผมยกมือห้ามเผื่อไว้ว่าตัวเองจะเดาถูก และเปลี่ยนเป็นจับต้นแขนนั้นเอาไว้แทนถ่วงน้ำหนักไปทางนั้นมากหน่อยก็ไม่มีบ่น ขณะที่ผมเหงื่อเริ่มท่วม คนข้างตัวยังตัวแห้งหน้าแห้งยังกับเดินตากแอร์อยู่

เมินโหยวผิงชี้ให้ดูภาพวาดบนหนังรูปเทพเจ้าแต่ละองค์ถูกเชื่อมไว้ด้วยกันด้วยมังกรตัวยาวเลื้อยเต็มความยาวของเสา ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ผมจึงชี้ที่หลังเสื้อของนักท่องเที่ยวด้านหน้า เป็นรูปพระพิฆเนศถืออาวุธต่างกันในมือแต่ละข้าง กำลังจะอ้าปากหาเรื่องเล่า คนข้างตัวผมก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“หอยสังข์”

ผมหันไปมองด้วยความตะลึงนิดๆ ไม่คิดว่าเมินโหยวผิงจะมีความรู้แถบอินเดียอยู่ด้วย แทนที่จะออกตัวเล่า ผมว่าฟังเอาอาจจะได้อะไรมากกว่า

“อีกข้างเป็นขวาน” เมินโหยวผิงพูดห้วนจบสั้น

“….อืม” ผมกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว “ที่นายพูดมันก็ถูกนะ ฉันนึกว่าจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟัง”

เมินโหยวผิงส่ายหน้า “รู้แต่ว่าเป็นเทพที่เป็นช้าง มีงา งาหัก ถือหลายอย่าง”

“…นายนี่มีอะไรที่ไม่รู้เยอะดีนะ” ผมตะลึงปนขำ “ก็อย่างที่นายเข้าใจน่ะถูกแล้ว ที่หลังเสื้อนี่เป็นปางประทานพรน่ะ อันนั้นขวาน หอยสังข์ และข้างนี้กำลังโปรยเงิน แต่ว่าถ้าจะให้เล่าเรื่องนี้ คิดว่าสามวันสามคืนน่ะ”

คนฟังทำหน้าดูทำหน้าชอบใจ “ก็เล่าสิ”

ผมหันไปมอง “มันยาวน่ะ ถ้าเล่าต้องสาวถึงเทพอีกหลายองค์ ฉันก็ไม่ค่อยแม่นหรอก แค่รู้มาบ้างเฉยๆ ไม่เคยตั้งใจศึกษาทางฝั่งนั้น แต่ถ้าเกิดว่านายอยากรู้ ฉันไปหาหนังสือมาอ่านแล้วค่อยว่ากันดีกว่าไหม”

คนใบ้ที่นึกอยากจะพูดไร้สาระขึ้นมาพยักหน้ารับรู้ “อยากฟังเสียงน่ะ”

ผมมองเสี้ยวใบหน้านั้นอย่างไม่เข้าใจนัก เสียงที่อยากฟังคือเสียงเล่าเรื่องประวัติเทพแต่ละองค์ของฝั่งอินเดียหรือหมายถึงอย่างอื่น?

“จะถึงแล้ว”

ผมมองตามนิ้วยาวนั้นไปเห็นเจ้าแม่กวนอิมสำริดตั้งอยู่ ขนาบข้างด้วยดอกบัวตูมและบานก้านอ่อนช้อยเนื้อรำสิดเช่นเดียวกัน อีกฝั่งเป็นรูปปั้นกวนอู แม้จะเชื่อมโยงอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาขอพรกัน เบื้องหน้ารูปปั้นมีกระถางใหญ่ บ้างก็โยนเหรียญ บ้างก็เป็นดอกไม้ ผมยืนตัวลีบบนระเบียงแคบอย่างหวั่นๆ ราวกั้นผอมแรง ระเบียงยืนพื้นที่ไม่สัมพันธ์กับจำนวนคนทำให้ฟุ้งซ่าน ผมถูกเมินโหยวผิงพาเดินวนรอบและหยุดอยู่ตรงหน้าต่างพอดิบพอดี สายลมแรงยิ่งกว่าข้างล่าง วิวดียิ่งกว่า ทุกอย่างดูเล็กลงอีกเมื่อมองจากตรงนี้

“ลมแรงแบบนี้สะใจดีนะ” ผมชวนคุย “อ๊ะ ตรงนั้นเห็นนายอ้วนด้วย!”

ร่างท้วมกำลังมองซ้ายมองขวา น่าจะกำลังหาตัวพวกเราอยู่ ผมชวนเมินโหยวผิงเดินวนลง พลางจัดผมให้เข้าที่เข้าทาง โดยมีคนข้างๆ ช่วยทำให้สิ่งที่กระเซิงจากแรงลมเข้าที่

“นายนี่ก็ประหลาดดีนะ” มือนั้นยังคงจัดผมให้ “บางทีก็เหมือนพี่ บางทีก็เหมือนน้อง แต่อย่างนายอ้วนนี่ บางทีก็เหมือนเพื่อน บางทีก็เหมือนลุงขี้บ่นอะไรไม่รู้”

มือผมถูกรวบจับพาเดินลงฝั่งชิดกำแพง

“ก็ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นสักอย่าง” เขาตอบกลับ

“หมายความว่านายจะไม่เอ็นดูฉันหน่อยเรอะ” ผมหยอกกลับ นานๆ ที่จะได้ต่อความกันยาวๆ

ทางลงดูแสนสั้นถ้าเทียบกับตอนขึ้น เจดีย์สูงไม่เท่าไหร่แป๊บเดียวก็ใกล้ทางออก ผมทำปากยื่นเพื่อแสดงออกว่าไม่ถูกใจ อยากรู้ว่าเขาจะตอบกลับมาแบบนไหน

นายอ้วนสังเกตเห็นพวกเราแล้ว โบกมือเรียก อีกมือถือของมาหลายถุงใหญ่ ผมออกตัวจะวิ่งไปหา มือข้างนั้นที่ลืมไปเสียสนิทว่าจับกันไว้อยู่รั้งตัวไว้เล็กน้อย

 

 

“เท่าที่เป็นอยู่นี้ยังไม่พอ?”

 

 

อยู่ๆ เลือดก็ขึ้นหน้าในความหมายที่ไม่ได้แปลว่าโกรธ ไม่รู้ทำไมอยากเจอนายอ้วน อยากคุยกับนายอ้วนเอามากๆ ผมไม่กล้าสบตาคนด้านหลังอีก ได้แต่วิ่งไปหานายอ้วนทำทีเป็นสำรวจว่าในแต่ละถุงมีอะไรทั้งที่ไม่ได้สนใจสักนิด

“วิ่งแค่นี้ความดันขึ้นหน้าแดงเลยเรอะ… แก่เร็วไปรึเปล่าเทียนเจิน?”

“นายซื้ออะไรมาเยอะแยะ!” เอาเสียงดังเข้ากลบเกลื่อนแบบไม่แนบเนียน โชคดีที่นายอ้วนรักผมบ้างบางที

“ก็กะว่าจะเดินไปแถวนี้ พอดีเจอร้านขายของมีพวกขนมแปลกๆ ที่เสี่ยอ้วนไม่เคยกิน ก็เลยซื้อมาอย่างละถุงใหญ่” นายอ้วนชูให้ดูของในถุง “ซื้อบ๊วยมาด้วยนะ คนขายบอกว่าอันนี้กินแกล้มเหล้าอร่อยมาก แล้วก็เลยได้เหล้ามาอีกขวด”

นายโดนหลอกขายแล้วรึเปล่า… บ๊วยที่บ้านนายไม่มีหรือไง… “จะบอกว่าคุยภาษาเวียดนามได้แล้ว?”

นายอ้วนยิ้ม “คนขายพูดจีนได้ด้วย เสี่ยอ้วนเลยยืนคุยนานเลย ลืมพวกนายไปเสียสนิท แต่ต้องเข้าใจนะ มานี่เจอแต่กับหน้าเดิม อยากคุยกับคนอื่นบ้าง”

ผมพยักหน้าแกนๆ “แล้วเราจะไปไหนกันต่อล่ะ?”

“ฉันคุยถามหาร้านของกินให้แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเฝอ แถวนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว เห็นป้าร้านขายของบอกว่าถ้าอยากไปเที่ยวที่เขาชอบไปกันต้องไปที่… อะไรมินจี..”

“โฮจิมินห์รึเปล่า?” ผมเสริม

“เออๆ นั่นแหละ บอกว่าทางใต้ก็มีทะเลทรายนะ มีให้เช่ารถไปตะลุยกลางทะเลทรายด้วย” นายอ้วนเล่าแววตาเป็นประกาย ท่าทางอยากไปมาก….

แต่ก็อีกนั่นแหละ… ขับรถกลางทะเลทาย เดินกลางทะเลทรายทำอย่างกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยไป…

…คุ้นๆ ว่ารอบนั้นไปก็เกือบตายอยู่นะ

“ไฮ้! เทียนเจินไม่ต้องมาทำหน้าแบบนี้เลยนะ” นายอ้วนปัดมือไปมาใส่หน้าผม “อันนี้คือเที่ยว นี่นายเข้าใจคำว่าเที่ยวมั้ย หมายถึง ไม่ตาย ไม่ต้องโดนลอบฆ่า ไม่ต้องกลัวแมลงร้าย ไม่ต้องพกอาวุธน่ะ”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” ผมเถียง

“แล้วเขาว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นแถวที่พักเราอร่อยใช้ได้นะ” นายอ้วนเสนอ

ผมทำหน้าเหนื่อยใจใส่ “แล้วมาเวียดนาม กินอาหารญึ่ปุ่นเนี่ยนะ?”

“อู๋เสีย ฟังเสี่ยอ้วนให้จบก่อน เมื่อวานนี้เราพลาดดูพระจันทร์ดวงใหญ่กันใช่ไหม ร้านที่เราจะไปมีชั้นดาดฟ้าระเบียงเปิดโล่งนะ หันหน้าทิศเข้าทะเลสาบด้วย บรรยากาศดีขนาดนี้ จะอาหารอะไรก็ช่างหัวมันเถอะน่า สั่งเหล้ากับแกล้มเต็มอัตราปิดท้ายเป็นพอ”

ดูท่าแล้วมื้อท้ายของวันนี้คงไม่พ้นอาหารญี่ปุ่นแน่ “กลับไปเก็บของก่อนแล้วกันแล้วค่อยออกมาอีกที”

 

 

ผมได้ลองเบียร์ท้องถิ่นของที่นี่แทบครบทุกยี่ห้อ รสชาติเข้มจางขมนุ่มละมุนครบรส พระจันทร์ดวงโตไม่ได้เห็นเต็มตาด้วยเมฆหนาก้อนใหญ่บังไปกว่าครึ่ง ขนาดใหญ่ผิดปกติของมันไม่ได้ทำให้ตื่นตาเท่าที่คาดหวังหากแต่มันงดงามท่ามกลางลมแรงและเสียงเพลงคลอเคล้า เรากินดื่มกันนับขวดไม่ได้ ปลาดิบธรรมดาเท่าที่ไม่ได้คาดหวัง เราสั่งมาจานไม่ใหญ่ ที่เหลือเป็นอาหารหนักท้องของฝั่งตะวันตกทั้งสิ้น ผมยังคงยืนยันว่ารสชาติของเนื้อแม้จะมาในรูปแบบสเต็กจานร้านก็ยังคงกลิ่นแรง พอกินกับเบียร์แล้วก็พอไปไหว ของมึนเมาที่นี่ถูกยิ่งกว่าน้ำเปล่าหลายเท่าจึงดื่มกันไม่ยั้งเพื่อสลายเงินดองให้เกลี้ยงกระเป๋า พรุ่งนี้เป็นวันเดินทางกลับ ไม่รู้จะเก็บเงินสกุลนี้ไว้ทำอะไรต่อไปได้

แม้จะดื่มเยอะจากข้างนอกมาขนานใหญ่ แต่เมื่อกลับถึงห้องพัก นายอ้วนหวังก็เปิดถุงที่ซื้อมาเมื่อกลางวัน ทั้งเหล้าทั้งกับแกล้มเทพร้อมในจาน ผมกับเมินโหนวผิงช่วยกันเทถั่วคั่วหลากชนิด เหลือบเห็นกระดาษม้วนหนึ่งในถุงพลาสติกที่ผมกำลังจะสถาปนามันให้เป็นถุงขยะ

คราแรกคิดว่านายอ้วนคงซื้อภาพแขวนเป็นที่ระลึก คิดไม่คิดว่าดูไม่ใช่นิสัย อย่างนายอ้วนหวังคงไม่จ่ายกับอะไรสุนทรีย์บนแผ่นกระดาษ น่าประหลาดที่มันดึงความสนใจของผมเอาไว้ได้

“นี่อะไร?” ผมชูม้วนกระดาษในมือให้เจ้าของดู “เปิดดูได้ไหม?”

“ใบปลิวรึเปล่า?” นายอ้วนถาม “ฉันไม่ได้ซื้อมานะ หรือว่าเจ้าของร้านหยิบอะไรเกินมาให้?”

มือคลี่ม้วนกระดาษออกดู แล้วก็พลันเข้าใจ “ใช่… จงใจหยิบเกินแถมมาให้เลย”

ผมขยับจานกับแกล้มให้พ้นทาง กางกระดาษเต็มแผ่นกลางโต๊ะ

“เราโดนสะกดรอยตามเหรอ?” ผมหันไปทางเมินโหยวผิง “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่ออกมา” เมินโหยวผิงอธิบาย เพิ่มเติมว่าฝีมือการสะกดรอยนั้นเรียกว่าห่วยยิ่งกว่ามือสมัครเล่นอย่างผมเสียอีก

“เวร.. ฉันไม่รู้ตัวเลย” ผมร้อง

“ตามนายอ้วน” เมินโหยวผิงพูดเสริม “น่าจะรู้ว่ามาทางนายไม่ได้”

ประโยคนี้เข้าใจได้โดยง่าย ผมหันไปหานายอ้วน เขาส่ายหน้าดิก “ไม่ทันได้สังเกต คนเยอะจะตาย หน้าตาก็เหมือนๆ กันไปหมด ใส่เสื้อยังโทนสีเดียวกัน แล้วเสี่ยอ้วนก็ไม่ได้ระแวงขนาดนั้นด้วย” อันนี้ก็พอเข้าใจได้อีก

เมื่อลองพิจารณาแผนที่ที่ไม่มีตัวหนังสือใดกำกับ มีบางอย่างกวนใจผม…

“ทำไมมันดูคุ้นๆ วะเทียนเจิน…” นายอ้วนพูดตรงใจผม “ขอเสี่ยอ้วนนึกก่อนนะ… เอ ไอ้แบบนี้มันเคยเห็นที่ไหน..”

“รู้อะไรไหม?” ผมยกกระดาษตัวปัญหานี้ขึ้นแล้วขยำมันเป็นก้อนอย่างไม่ไยดี หันไปโยนลงถังขยะอย่างแม่นยำ “อย่าไปสนใจมันเลย.. ก็แค่ใบปลิวที่มันติดมา”

“…อ้อ..” นายอ้วนเหมือนพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของผมแล้ว “เข้าใจล่ะ งั้นก็มาดื่มให้เมาเละกันไปข้างเลยแล้วกัน”

 

To be Continued…..

 

 

Leave a comment